“ไทย-มาเลย์-เวียดนาม” แข่งขันพัฒนา “คน” รองรับอุตสาหกรรมเอไอ

โลกในปัจจุบันเดินหน้าเข้าสู่ยุคเอไอ AI เต็มตัว การตัดสินใจลงทุนของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในประเทศต่างๆ นอกจากการพิจารณาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ สิ่งอำนวยความสะดวก มาตรการส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจก็คือ “คน”

มาเลเซียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเมืองยโฮร์บารู ในรัฐยะโฮร์ เติบโตล้ำหน้า ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตลาดดาต้าเติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน และกลายเป็นตลาดใหญ่สุดในอาเซียน ซึ่งหากวัดขนาดของดาต้าเซ็นเตอร์จากปริมาณการใช้ไฟฟ้า จะพบว่ามาเลเซียตามหลังแค่อินเดียและญี่ปุ่นเท่านั้น ขณะที่การเติบโตของระบบคลาวด์ ทำให้มาเลเซียกลายเป็นดาวเด่นของตลาดเกิดใหม่ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพัฒนาทักษะแรงงาน ยิ่งช่วยให้มาเลเซียนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดไปใช้ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ

ขณะที่เวียดนาม กระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรม วาง “ยุทธศาสตร์การศึกษา 2030” พัฒนาคนเวียดนามอย่างครอบคลุม โดยเพิ่มศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลให้สูงสุด เป้าหมายคือการสร้างคนเวียดนามรุ่นใหม่ที่ดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ อุดมด้วยแรงบันดาลใจ มีคุณสมบัติ สติปัญญา และความสามารถครบถ้วน จัดหาทรัพยากรบุคคลคุณภาพสูง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเทศชาติ เข้มแข็ง เป็นประชาธิปไตย ยุติธรรม มีอารยธรรม เจริญรุ่งเรืองและมีความสุข

กลยุทธ์การพัฒนาการศึกษาของเวียดนาม ยังเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาอาชีวศึกษา เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงถึงกัน ให้บริการการเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเอไอของประเทศ โดยเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัท FPT Software ได้มีการลงทุนก่อสร้างศูนย์เอไอในเมืองกวีเญิน จังหวัดบิ่ญดิ่ญ ด้วยมูลค่า 2 ล้านล้านด่ง (84.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งศูนย์แห่งนี้จะรองรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเอไอ รวมถึงผลิตผลิตภัณฑ์สนับสนุนและพัฒนาชิ้นส่วนซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

รัฐบาลเวียดนามยังได้ประกาศยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อการวิจัยและพัฒนาและการประยุกต์ใช้เอไอ จนถึงปี 2573 โดยมุ่งผลักดันให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและเอไอทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ตั้งเป้าหมายให้สามารถสร้าง AI Trademark จัดตั้งศูนย์ Big Data และศูนย์ประมวลผลประสิทธิภาพสูง

บริษัท อินวิเดีย (Nvidia) ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ลงทุนในเวียดนามไปแล้ว 250 ล้านดอลลาร์ และเตรียมขยายความร่วมมือด้านธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีเวียดนาม สนับสนุนการฝึกฝนพัฒนาชาวเวียดนามในด้านปัญญาประดิษฐ์และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ทั้งในอุตสาหกรรมเอไอ รถยนต์และการดูแลสุขภาพ เวียดนามยังเป็นจุดหมายที่สำคัญของการลงทุนจากต่างประเทศ ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ของแบรนด์ชั้นนำอย่างซัมซุงและแอปเปิล

หันมองบ้านเรา แผนการพัฒนาบุคลากรก็ถือว่าไม่น้อยหน้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เตรียมทัพกำลังคน สร้างอุตสาหกรรมอนาคต “IGNITE THAILAND: Future Workforce for Future Industry” ตามนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาล เพื่อให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และทันต่อความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น

โดยภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า ได้ตั้งเป้าสำหรับ Semiconductor & Advanced Electronics ไว้ที่ 80,000 คน อีวี 150,000 คน (ICE มี 600,000 คน) และ เอไอ 50,000 คน ปัจจุบัน ได้เริ่มดำเนินการผลิตกำลังคนรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตไปแล้ว 6 โครงการ ซึ่งมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ โดยมี 3 โครงการที่เป็น Quick Win เห็นผลในระยะสั้น ได้แก่ การพัฒนาและเพิ่มทักษะ (Upskill/Reskill) เช่น โครงการ STEM PLUS หลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น สำหรับกำลังคนที่อยู่ในอุตสาหกรรม สร้างแรงจูงใจให้บริษัทเอกชนที่ส่งบุคลากรมาเรียน สามารถนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไปลดหย่อนภาษีได้ 250%

การผนึกกำลังดังกล่าว ถือเป็นการยกระดับฐานทักษะสมรรถนะด้านดิจิทัล AI และ 5G อย่างมีนัยยะสำคัญใน Land scape ของการศึกษา การพัฒนาบุคลากร รวมทั้งอุตสาหกรรมยุคใหม่ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีอนาคตต่อการศึกษาและการผลิตบุคลากร ที่ส่งผลต่อการยกระดับอุตสาหกรรมโดยรวม เข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาล เป็นการสนับสนุนการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรที่จะส่งผลตั้งแต่ฐานรากการพัฒนาบุคลากรและการศึกษาสู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างมีอนาคต ซึ่งทั้ง 8 ศูนย์เครือข่าย ได้ร่วมพัฒนาภาคอุตสาหกรรมใน EEC ยกระดับการผลิตและบริการ สร้างมูลค่าหลายแสนล้านมาตั้งแต่ปี 2563 จนปัจจุบัน

การลงทุนที่มีการแข่งขันเข้มข้นรุนแรงวันนี้ นอกจากการปรับโครงสร้างพื้นฐาน การวางระบบโลจิสติกส์และการสื่อสาร รวมทั้งการจัดการสิทธิประโยชน์ที่ก้าวหน้าโปร่งใส บนฐานของการมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบแล้ว การจัดการให้มีบุคลากรที่มีสมรรถนะทักษะตรงตามต้องการและพอเพียง จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพิจารณาการลงทุน ที่จะส่งผลรวมให้เกิดความเติบโตก้าวหน้าทางสังคมเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเท่าทันโลก

แชร์ไปยัง: