คำว่า Digital Disruption คงเป็นคำที่หลายท่านคุ้นหูและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระแสความตื่นตัวที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสังคมรอบตัวของเราไปอย่างเห็นได้ชัด
คำว่า Digital Disruption คงเป็นคำที่หลายท่านคุ้นหูและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระแสความตื่นตัวที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสังคมรอบตัวของเราไปอย่างเห็นได้ชัด
เริ่มจาก คุณปฐม อินทโรดม กรรมการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ได้กล่าวไว้ในรายการ open talk EP.21 : แนวโน้มดิจิทัลเขย่าโลก ว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างแน่นอน อยู่ที่เราว่าจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งผลกระทบย่อมมีอยู่เสมอ หน้าที่ของเรา คือ ต้องช่วยกันลดช่องว่างและปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลจริงจังมากขึ้น ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากเห็นคนไทยมีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วเอาเทคโนโลยีมาต่อยอด อย่าหยุดเรียนรู้ แล้วเราจะอยู่รอดในอนาคต

Digital Disruption เป็นปรากฏการณ์ที่ขับเคลื่อนโดยพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของผู้คนที่เกิดขึ้นมาในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเทคโนโลยีที่มีความใหม่ ควรมีการนำไปใช้อย่าง มีวิจารณญาณ และต้องมีการศึกษาค้นคว้า รวมถึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ถูก Disrupt การวางแผนกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จะช่วยให้การบริหารจัดการเรียนรู้ในยุค Digital Disruption นั้นประสบความสำเร็จ ไปสู่เป้าประสงค์ที่วางไว้
และจากการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้ปัจจุบันวิถีชีวิตของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ด้วยความเข้าถึงที่สะดวกสบายและรวดเร็ว แค่สมาร์ตโฟนเพียงหนึ่งเครื่อง การจัดการกับกิจวัตรประจำวันจึงกลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งนับได้ว่าเป็นยุค Mobile First หรือยุคที่สมาร์ตโฟนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตเลยก็ว่าได้ และหลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งแรกที่ทำเมื่อตื่นนอนตอนเช้าคือการหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเพื่อเช็กข้อความจากช่องทางต่างๆ เสพข่าวบนโซเซียลมีเดีย การดูหนังฟังเพลง การชอปปิง การจองที่พักและเที่ยวบิน ไม่เว้นแต่การทำธุรกรรมทางออนไลน์
ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ดิจิทัลในการทำกิจวัตรประจำวันอย่างมหาศาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้องค์กรและธุรกิจต่างๆ ต้องเร่งปรับตัว เร่งพัฒนาศักยภาพให้สามารถก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้บริโภค ที่มีการหมุนเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นับได้ว่าไม่มี Sector ไหนปลอดภัยจาก Disruption ได้เลย
Super App ผลจากการปรับตัวของธุรกิจในยุค Digital Disruption
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ปัจจุบันการใช้งานสมาร์ตโฟนมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ล้วนต้องการความสะดวก ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น การเข้าถึงสินค้าและบริการง่ายแค่เพียงปลายนิ้ว ด้วยเหตุนี้ทำให้ภาคธุรกิจล้วนอยากมี Super App เป็นของตนเอง
ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลากหลายธุรกิจเริ่มมีการเร่งเครื่องปรับตัวและพยายามเร่งพัฒนาแอปพลิเคชันของตนเอง ให้สามารถเป็นมากกว่าแค่แอปที่ทำงานแค่วัตถุประสงค์เดียว แต่เป็นแอปอเนกประสงค์ ที่รวบรวมบริการหลายอย่างไว้ในแอปเดียวกัน เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้บริโภคที่มีการหมุนเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วนี้
ด้าน คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ อดีตประธานกรรมการกสิกร บิซิเนส กรุ๊ป (KTBG), อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และอดีตผู้ก่อตั้งและ CEO คนแรกของ Settrade.com ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในรายการ open talk EP.23 : Super App (ซูเปอร์แอป) แห่งชาติ ไว้ว่า
“สิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นในประเทศไทย คือ อยากเห็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่พัฒนาโดยคนไทย และสร้างชื่อให้เมืองไทย มีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยจะต้องเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่มีบริการหลากหลาย สามารถ Scale up เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้ในอนาคต”
ดังนั้นดูเหมือนว่า Super App จะเป็นทางออกสำหรับหลายธุรกิจที่กำลังต้องการขยายตัว เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นวงกว้าง รวมถึงช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายมากกว่าในอดีตอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Super App นั้น ไม่ใช่ใครก็สามารถสร้างได้ และไม่ใช่อะไรที่สามารถทำได้ในเพียงไม่กี่วัน เพราะการพัฒนา Super App ให้ประสบความสำเร็จนั้น มีหลายปัจจัยนอกเหนือจากองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความรับผิดชอบ แต่หมายรวมไปถึงความรวดเร็วในการคิด พัฒนา ทดลอง และต่อยอดให้เกิดผลลัพธ์ตามคาดหวัง ซึ่งยังเป็นสิ่งที่หลายธุรกิจต้องการและขาดหายในยุคที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็ว
การมาถึงของ Digital Disruption นับว่าเป็น “วิกฤติ” ที่ต้องเปลี่ยนให้เป็น “โอกาส” ซึ่งการถูก Disrupt นี้ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถรับมือและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างเต็มที่ได้ ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีหรือเครื่องมือบางอย่างมาใช้ เพื่อยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพและเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด และถึงแม้ว่าการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวธุรกิจนั้น จะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหา Digital Disruption ที่ตรงจุดและควรทำมากที่สุด
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกธุรกิจจะสามารถทำได้เหมือนกันหมด บางองค์กรอาจต้องเผชิญเข้ากับปัญหาหรือข้อจำกัดบางอย่าง เช่นในเรื่องค่าใช้จ่าย ความรู้ความเข้าใจที่ทำให้ไม่สามารถใช้งานนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีได้อย่างที่ควรจะเป็น
ดังนั้น เพื่อให้การปรับตัวเกิดความลื่นไหล สามารถทำงานต่อได้ แม้จะเกิดความเปลี่ยนแปลง ตัวธุรกิจจึงต้องไม่ลืมวางรากฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับองค์กรก่อนเป็นอันดับแรก